ตำนานพระนางจามเทวีกับการสร้างบ้านแปลงเมืองหริภุญไชย
***บทความฉบับนี้เขียนขึ้น ปี พ.ศ.2554 ในขณะที่ข้าพเจ้าเรียนอยู่ในสาขาประวัติศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 เนื้อหาและข้อมูลอาจมีการตกหล่นและผิดพลาด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย**
บทนำ
แผ่นดินไทยเมื่อหลายร้อยปี
ก่อนการก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัย
แคว้นบริเวณทางภาคเหนือของไทยมีการสร้างบ้านแปลงเมืองอย่างมากมาย
ล้วนแล้วแต่มีการปกครองโดยเป็นอิสระต่อกัน อาณาจักรหริภุญไชยเป็นอาณาจักรหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยได้รับแบบอย่างวัฒนธรรมทวารวดีจากลุ่มน้ำเจ้าพระยาในภาคกลางที่มีระเบียบแบบแผน
ทั้งการปกครองศาสนา ศิลปวัฒนธรรมรุ่งเรืองในด้านการค้า เศรษฐกิจ
ประชาชนศรัทธาพุทธศาสนา มีกษัตริย์ปกครองพระองค์แรกคือ พระนางจามเทวี
ซึ่งปรากฏหลักฐานการสร้างบ้านแปลงเมืองในเอกสารต่างๆ
เรื่องราวของนครหริภุญไชยนั้นปรากฏในพงศาวดารทางภาคเหนือเป็นส่วนใหญ่
รวมถึงชินกาลมาลีปกรณ์ด้วยเช่นกัน หริภุญไชยแสดงถึงการสร้างบ้านแปลงเมืองตามคติพุทธศาสนา[1] ความเลื่อมในทางพุทธศาสนาซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อสังคมในช่วงนั้น เราจะเห็นได้จากการที่พุทธศาสนาได้รับการยอมรับเหนือวัฒนธรรมท้องถิ่น ดั่งที่ฤาษีวาสุเทพสร้างเมือง หริภุญไชยโดยที่ไม่ให้ชนพื้นเมืองเป็นกษัตริย์แต่กลับไปอัญเชิญราชธิดาของกษัตริย์แห่งกรุงลวปุระหรือละโว้มาเป็นกษัตริย์[2]
ข้อน่าสังเกตอีกประการหนึ่งสำหรับเมืองหริภุญไชย คือ การมีปฐมกษัตริย์องค์แรกของราชวงศ์เป็นผู้หญิง
ตำนานพระนางจามเทวี
หริภุญไชย
ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในจังหวัดลำพูน ปรากฏหลักฐานในตำนานหรือเอกสารโบราณ เช่น
จามเทวีวงศ์ ชินกาลมาลีปกรณ์
มูลศาสนาหรือพงศาวดารโยนก ว่าเป็นเมืองที่นับถือพุทธศาสนามาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่13 เมื่อเข้าสู่พุทธศตวรรษที่17 มีสิ่งก่อสร้างทางศาสนา
ทั้งสถาปัตยกรรม
ประติมากรรมและรูปเคารพโดยสันนิฐานว่าพุทธศาสนาในเมืองหริภุญไชยมีทั้งนิกายเถรวาทและนิกายมหายาน[3]
ซึ่งล้วนแต่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อและความศรัทธาในศาสนาพุทธนั่นเอง
ก่อนเกิดรัฐหริภุญไชยบริเวณนี้มีกลุ่มชนพื้นเมือง
ซึ่งเรียกว่า ลัวะ หรือละว้า ตั้งถิ่นฐานอยู่กันเป็นหมู่บ้าน มีลักษณะเป็นสังคมชนเผ่า ยังไม่ได้สร้างเมืองหรือรัฐ
ตำนานล้านนากล่าวถึงการตั้งถิ่นฐานของชาวลัวะบริเวณเชิงดอยสุเทพ
และเรียงรายลงมาทางแม่น้ำปิงจากเชียงใหม่ถึงลำพูน
ชาวลัวะนับถือดอยสุเทพในฐานะที่เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่สองสถิตของปู่แสะย่าแสะ
และเชื่อกันอีกว่าฤาษีวาสุเทพเป็นลูกหลานของปู่แสะย่าแสะสอดคล้องกับตำนานมูลศาสนาที่กล่าวถึงฤาษีวาสุเทพที่อาศัยอยู่บริเวณอุจฉุบรรพหรือดอยอ้อย
ภายหลังได้เปลี่ยนชื่อดอยตามชื่อของท่าน[4]
ฤาษีวาสุเทพผู้นี้ที่เป็นคนสร้างนครหริภุญไชย
นอกจากนี้การขึ้นมาครองเมืองของพระนางจามเทวียังทำให้หัวหน้าเผ่าลัวะเกิดความไม่พอใจ เพราะถูกชนที่มีวัฒนธรรมสูงกว่าเข้ามาแทรกแซง
ในตำนานพระนางจามเทวีระบุว่า พระองค์ ทรงมีสติปัญญาฉลาดรู้ สรรพกิจขัตติยะราชประเพณี
มีมรรยาทและพระอัธยาศัยเสงี่ยมงามพร้อม และมีน้ำพระทัยโอบอ้อมอารี
ตามตำนานยังกล่าวต่ออีกว่าเมื่อครั้ง พระนางจามเทวีเจริญพระชนมายุได้ ๑๓ พรรษา
ใกล้จะรุ่นสาว ได้สำเร็จซึ่งวิชาการทั้งหลายเป็นการบริบูรณ์แล้ว ท่านฤาษีวาสุเทพจึงได้ผูกดวงและตรวจสอบชะตา
ทราบว่ากุมารีผู้เป็นบุตรบุญธรรมของท่านจะมีวาสนาเป็นถึงจอมกษัตริย์
ปกครองบ้านเมืองอันใหญ่โตซึ่งจะรุ่งเรืองไปในภายภาคหน้า
จึงตกลงใจว่าจะต้องส่งเด็กหญิงไปสู่ราชสำนักเพื่อรับการอภิเษกขึ้นเป็นเชื้อ
พระวงศ์ให้สมควรแก่การที่จะได้เป็นใหญ่ต่อไป และที่เหมาะสมในสายตาท่านฤๅษีคือ
ราชสำนักแห่งกรุงละโว้
ซึ่งเป็นราชสำนักที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดแห่งหนึ่งในสุวรรณภูมิเวลานั้น ท่านฤาษีวาสุเทพจึงได้เนรมิตแพขึ้น
ส่งกุมารีน้อยล่องไปตามน้ำจากเมืองเหนืออีกทั้งยังฝากหนังสือไปฉบับหนึ่งเพื่อกราบทูลพระเจ้ากรุงลวปุระ
พระเจ้าแผ่นดินกรุงลวปุระได้เสด็จไปยังท่าน้ำหน้าวัดชัยมงคลพร้อมด้วยมเหสีในทันที [5]
โดยให้เหล่านายทหารช่วยกันชะลอแพแต่ไม่สามารถทำได้พระองค์จึงเสด็จจากที่ประทับพร้อมด้วยพระมเหสีและทรงยึดเชือกที่ผูกแพนั้น
ไว้ด้วยพระหัตถ์ของทั้งสองพระองค์และแพวิเศษก็ลอยเข้าสู่ท่าน้ำได้โดยง่าย
และดูราวกับเทพยดาฟ้าดินจะทรงอำนวยพรให้แก่ประพฤติเหตุอันอัศจรรย์นี้
เพราะเมื่อแพวิเศษลอยเข้าเทียบท่าน้ำ ได้มีฝนโปรยปรายเป็นละอองบางเบา
ยังความสดชื่นแก่ทุกคนในที่นั้น
ประชาชนทั้งสองฝั่งลำน้ำได้เห็นต่างก็พากันชื่นชมพระบารมีของทั้งสองพระองค์ และสรรเสริญบุญญานุภาพของกุมารีน้อยไปทั่วทั้งพระนคร[6]
พระบารมีของพระนางจามเทวีปรากฏให้เห็นตั้งแต่ยังไม่ได้ขึ้นครองเมืองหริภุญไชยเสียด้วยซ้ำ
กำเนิดเมืองหริภุญไชย
ศักราชการสร้างเมืองหริภุญไชย(ตามหลักฐานทางจีนเรียกรัฐนี้ว่า
“หนีวังก๊ก) มีผู้รู้ให้ความคิดเห็นที่ต่างกัน โดยศาสตราจารย์ ดร. ประเสริฐ
ณ นคร ได้ให้ความเห็นว่า เมืองหริภุญไชยควรสร้างราว พ.ศ.1310-1311 โดยใช้หลักฐานตำนานเมืองลำพูน แต่ตำนานจามเทวีวงศ์
ระบุว่าเวลาสร้างเมืองนั้นตรงกับวันอาทิตย์ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 3 ปีขาล พ.ศ.
1198 ใช้เวลาสร้าง 2 ปี
สัณฐานนครเมื่อแรกสร้างมีปริมณฑลโดยรอบได้ 2250 วา หรือ 127 เส้นกับ 10 วา [7]
ข้อสันนิฐานในเรื่องของระยะเวลาในการสร้างเมืองยังไม่เป็นที่แน่ชัดนัก
เนื่องจากหลักฐานทางโบราณคดีในยุคนั้นมีจำกัดด้วย สภาวะแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้เกิดเมืองหริภุญไชยมีสองประการ
ปัจจัยภายในท้องถิ่นและปัจจัยภายนอก ทั้งด้านกายภาพเป็นที่ราบลุ่มอุดมสมบูรณ์[8]
สำหรับประเด็นในการก่อตั้งอาณาจักรหริภุญไชยนั้น
สรุปข้อเสนอเป็นสองแนวทางด้วยกันคือ
1.
หริภุญไชยนั้นเริ่มก่อตั้งโดยชาวมอญ
ซึ่งสมัยนั้นเป็นเมืองสำคัญของอาณาจักรมอญทวารวดี นำโดยพระนางจามเทวีและข้าราชบริพารต่างๆ
ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เอาพุทธศาสนานิกายเถรวาท วัฒนธรรม
ตลอดจนความรู้ด้านเทคโนโลยีของมอญมาสู่ลำพูน
หมายถึงการก่อตั้งอาณาจักรหริภุญไชยได้รับการก่อตั้งโดยคนต่างแดน
โดยการนำเอาวัฒนธรรมใหม่เข้ามาครอบคลุมชนชาติเดิม นักวิชาการจึงสรุปว่าหริภุญไชยเป็นเมืองของอาณาจักรมอญ
2.
หริภุญไชยเป็นบ้านเมืองที่พัฒนามาโดยชนพื้นเมืองเดิม
คือลัวะที่ได้รับ วัฒนธรรมมาจากภายนอก ตามตำนานกล่าวว่าพระนางจามเทวีเป็นลัวะ
เป็นลูกสาวของฤาษี บ้างก็ว่าพระนางเป็นธิดาเจ้ากรุงละโว้
แต่ในตำนานพื้นบ้านของชาวบ้านหนองดู่ยืนยันว่าพระนางเป็นลูกเศรษฐีนายบ้านหนองดู่[9]
ไม่ว่าผู้นำทางวัฒนธรรมจะเป็นใคร
ชนพื้นถิ่นหรือชนต่างชาติ นักวิชาการต่างมีความเห็นพ้องกันว่าพัฒนาการของอาณาจักรหริภุญไชยเป็นผลจากการรับเอาวัฒนธรรมต่างชาติที่ขยายตัวขึ้นมาจากดินแดนสุวรรณภูมิเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ ประวัติศาสตร์ของนครหริภุญไชยในช่วงต้นเป็นเรื่องราวของการสถาปนาอำนาจของผู้ปกครองที่ได้รับวัฒนธรรมต่างชาติ
ทำให้การวางรากฐานอำนาจและสิทธิธรรมในการปกครองโดยการใช้พุทธศาสนามาเป็นฐานสนับสนุนการปกครองของตนนั่นเอง
เมื่อการสร้างเมืองหริภุญไชยสำเร็จลุล่วงแล้ว พระนางจามเทวีเสด็จลงมาครองนครโดยการเดินทางจากเมืองละโว้สู่หริภุญไชยนั้น
เอกสารบางแห่งบอกว่ามาทางเรือ คือล่องตามลำน้ำพิงค์ขึ้นมา
แต่เอกสารบางแห่งบอกว่าเดินเท้ามา
ทั้งนี้อาจสันนิฐานได้ว่าขบวนที่ว่านี้ไม่ใช่ขบวนเล็กๆ
การใช้เรือมาลำพูนคงไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้น การเดินทางทางบกน่าจะง่ายกว่า
แต่ที่น่าสนใจนั้นคือ เกิดเรื่องราวของนิทานที่บอกเล่าต่อกันมา
โดยเฉพาะเกิดชื่อสถานที่ต่างๆมากมาย[10]
แสดงให้เห็นถึงความสนุกสนานของนิทานสามารถที่ใช้นำมาใช้เป็นความรู้เพิ่มเติมได้ในการศึกษาถึงเส้นทางการเดินทางสู่หริภุญไชยของพระนางจามเทวี
พระนางจามเทวีมาพร้อมกับบริวารในลักษณะนำพาความเจริญเข้ามา
เพราะบริวารที่พระนางนำมาคือผู้เชี่ยวชาญในด้านศิลปวิทยาแขนงต่างๆ เช่น พระภิกษุ
นักปราชญ์และช่างหลายด้าน[11]
วันที่เสด็จขึ้นครองราชย์ ตรงกับวันขึ้น 2 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย พุทธศักราช 1202
พระชนมายุได้ 26 พรรษา และเมื่อครองราชย์แล้ว 7 วัน
พระนางจามเทวีก็ได้ทรงมีพระประสูติกาลพระโอรส 2 พระองค์
พระราชกุมารทั้งคู่ทรงศิริลักษณ์งามละม้ายกัน เป็นที่ปิติยินดีไปทั่วพระนคร
ทรงพระนามว่า “พระมหันตยศ” และ “พระอนัตยศ”[12] กล่าวกันว่าการปกครองบ้านเมืองของพระนางจามเทวีในนครหริภุญไชยของพระนางที่มาพรั่งพร้อมทั้งวิทยาการและองค์ความรู้ทำให้เมืองลำพูนพัฒนาและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
กลายเป็นบ้านเมืองสุขสมบูรณ์
พระนางจามเทวี
ทรงสถาปนาความรุ่งเรืองให้บังเกิดแก่นครหริภุญไชยมากขึ้นอาณาประชาราษฎร์
เป็นสุขสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติโดยถ้วนหน้า มีพระสงฆ์ที่ลงมาจากเมืองละโว้มากมายมาสั่งสอนเผยแผ่พระศาสนาเกิดวัดมากมาย
ที่มีภิกษุจำพรรษาเต็มทุกพระอารามในตำนานพื้นเมืองกล่าวว่าพระนางจามเทวีไม่เพียงแต่ทรงเอาพระทัยใส่ในการ
ศาสนาเพียงเท่านั้น ในด้านยุทธศาสตร์การป้องกันพระนคร พระองค์ก็โปรดฯ
ให้สร้างด่านไว้ที่ชายแดนที่เวียงนอกและเวียงสามเสี้ยว
นอกจากนี้ก็โปรดฯให้จัดการซ้อมรบเพื่อทดสอบความพรั่งพร้อมของกำลังพลอยู่ เสมอ
พระนางจามเทวีทรงปกครองเมืองหริภุญไชยด้วยทศพิธราชธรรม
พระองค์ทรงสั่งสอนบรรดาเสนาข้าราชสำนัก
ตลอดจนพสกนิกรทั้งหลายให้ยึดมั่นในทางธรรมเสมอ นครหริภุญไชยจึงเป็นแดนดินที่สงบสุข
เจริญรุ่งเรือง ไม่มีโจรผู้ร้าย มีแต่ความสงบร่มเย็นด้วยกลิ่นไอแห่งพระพุทธศาสนา
โดยเฉพาะพระนางจามเทวีได้โปรดฯให้มีการสร้างวัดขึ้นใหม่มากมาย อาทิ
วัดอรัญญิกกรัมการาม วัดอาพัทธาราม วัดมหาวนาราม วัดมหารัดาราม ฯลฯ ภายหลังพระนางจามเทวีได้สละราชสมบัติ
ให้แก่พระเจ้ามหันตยศครองเมืองแทน กระทั่งพระองค์ทรงมีพระชนมายุได้ 60 พรรษา
ได้ทรงสละเพศฆราวาสฉลองพระองค์ขาวเสด็จไปประทับทรงศีลที่วัดจามเทวี
ทรงเอาพระทัยใส่ต่อการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนายิ่งขึ้นอีกมากมาย
ซึ่งนอกจากการสร้างบ้านแปลงเมืองหริภุญไชยของพระนางจามเทวีแล้วนั้นพระนางยังทรงสร้างเมืองเขลางนครหรือลำปางขึ้น
เพื่อให้พระโอรสอีกพระองค์ของพระนางคือ พระอนันตยศกุมารเป็นผู้ปกครองอีกด้วย พระนางจามเทวีเสด็จสวรรคต
เมื่อวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 8 พ.ศ. 1294 รวมพระชันษาได้ 98 ปี
สิ้นพระชนม์ไปขณะทรงบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานอยู่นั่นเอง พระราชโอรสทั้ง 2
พระองค์ทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์พระศพเป็นพัสตราภรณ์แห่งกษัตริย์หริภุญไชเป็น
ครั้งสุดท้าย ท่ามกลางความโศกสลดของทวยราษฎร์ พระศพพระนางจามเทวีได้มีการเก็บรักษาไว้ที่วัดจามเทวี
2 ปี ก่อนที่จะประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงเมื่อวันแรม 2 ค่ำ เดือน 6 ปีวอก พ.ศ.1276
จากนั้นได้ก่อเจดีย์ให้เป็นที่ประดิษฐานพระอัฐธิธาตุ มีนามว่า “สุวรรณจังโกฏิเจดีย์” ซึ่งได้กลายเป็นสถานที่
ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของนครหริภิญไชต่อมาจนทุกวันนี้[13]
นครหริภุญไชยรุ่งเรืองมาตั้งแต่พ.ศ.1206 มีกษัตริย์ครองเมืองสืบมา 49 องค์
จนเสียเมืองแก่พ่อขุนมังราย เมื่อราว1824 รวมระยะเวลา 618 ปีในความเจริญรุ่งเรืองจะเห็นได้ว่าการสร้างบ้านแปลงเมืองในช่วงแรกของพระนางจามเทวีนั้นจะต้องต่อสู้กับชนพื้นเมืองเดิมเพื่อให้คนเหล่านี้ยอมรับวัฒนธรรมที่ตนนำมาเผยแพร่
รวมถึงตำนานพระนางของพระนางที่ปรากฏในเอกสารทางภาคเหนือ และตำนานต่างๆ
ที่เกี่ยวกับการเดินทางสู่นครหริภุญไชยของยังเป็นหลักฐานอย่างดีในการศึกษาถึงพัฒนาการของเมืองเพื่อเกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น
และในปัจจุบันชาวลำพูนได้หยิบยกเอาตำนานของพระนางมาสร้างเป็นเอกลักษณ์ประจำถิ่นทำให้เกิดความภาคภูมิใจในบ้านเมืองของตนที่มีความต่อเนื่องมายาวนาน
[1]รัตนาพร
เศรษฐกุล. ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจวัฒนธรรม แอ่งเชียงใหม่-ลำพูน. (เชียงใหม่ : ซิลค์เวอร์ม, 2552), 14
[2]เรื่องเดียวกัน.
[4]สรัสวดี
อ๋องสกุล,ศาสตราจารย์. ประวัติศาสตร์ล้านนา. (กรุงเทพฯ : อมรินทร์,2551). 69
[5] Tambralinga. พระนางจามเทวี
ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรหริภุญไชย.(ออนไลน์)
. เข้าถึงได้จาก :
http://blog.eduzones.com/tambralinga/3774. (วันที่ค้นข้อมูล 26 กรกฎาคม 2554)
[6] เพิ่งอ้าง.
[7] เพิ่งอ้าง.
[8] อ้างแล้ว.
71
[9] อ้างแล้ว.70
[10]
ภาสกร วงศ์ตาวัน. บ้านเมืองที่สาบสูญ. (กรุงเทพฯ :
สยามบันเทิง). 51
[11]
สรัสวดี
อ๋องสกุล,ศาสตราจารย์. ประวัติศาสตร์ล้านนา. (กรุงเทพฯ : อมรินทร์,2551).72
[12]พระนางจามเทวี
วีรสตรีปฐมกษัตริย์แห่งนครหริภุญไชย.(ออนไลน). เข้าถึงได้จาก
:
http://www.abhakara.com/webboard/index.php?topic=794.0.
(วันที่ค้นข้อมูล 25 กรกฎาคม 2554)
[13]Tambralinga. พระนางจามเทวี
ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรหริภุญไชย.(ออนไลน์)
. เข้าถึงได้จาก :
http://blog.eduzones.com/tambralinga/3774. (วันที่ค้นข้อมูล 25 กรกฎาคม 2554)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น